Artwork

المحتوى المقدم من 9Natree. يتم تحميل جميع محتويات البودكاست بما في ذلك الحلقات والرسومات وأوصاف البودكاست وتقديمها مباشرة بواسطة 9Natree أو شريك منصة البودكاست الخاص بهم. إذا كنت تعتقد أن شخصًا ما يستخدم عملك المحمي بحقوق الطبع والنشر دون إذنك، فيمكنك اتباع العملية الموضحة هنا https://ar.player.fm/legal.
Player FM - تطبيق بودكاست
انتقل إلى وضع عدم الاتصال باستخدام تطبيق Player FM !

[รีวิว] Bulletproof Problem Solving (Charles Conn, Robert McLean) สรุปหนังสือ

8:25
 
مشاركة
 

Manage episode 492679070 series 3664855
المحتوى المقدم من 9Natree. يتم تحميل جميع محتويات البودكاست بما في ذلك الحلقات والرسومات وأوصاف البودكاست وتقديمها مباشرة بواسطة 9Natree أو شريك منصة البودكاست الخاص بهم. إذا كنت تعتقد أن شخصًا ما يستخدم عملك المحمي بحقوق الطبع والنشر دون إذنك، فيمكنك اتباع العملية الموضحة هنا https://ar.player.fm/legal.

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Bulletproof Problem Solving เขียนโดย Charles Conn, Robert McLean
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/BulletproofProblemSolving
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/BulletproofProblemSolving
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07PFRCCY4?tag=9natree-20
#BulletproofProblemSolving #รีวิวBulletproofProblemSolving #สรุปBulletproofProblemSolving #หนังสือBulletproofProblemSolving
1. "Bulletproof Problem Solving" คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญในศตวรรษที่ 21?
"Bulletproof Problem Solving" คือกระบวนการที่ครอบคลุมและวนซ้ำได้ 7 ขั้นตอนสำหรับการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับความท้าทายที่ซับซ้อนในชีวิตส่วนตัว การทำงาน และขอบเขตเชิงนโยบาย ในอดีต การแก้ปัญหาถูกมองว่าเป็นโดเมนของบางอาชีพ เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และการให้คำปรึกษาด้านการจัดการ อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของศตวรรษที่ 21 ความสามารถในการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์จึงไม่ได้เป็นเพียงทักษะในโดเมนที่จำกัดอีกต่อไป แต่เป็นความคาดหวังของบุคคลและทีมงานในทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาครัฐ ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกจ้างงานโดยพิจารณาจากทักษะการวิเคราะห์และการคิดที่แสดงให้เห็น ประเมินจากการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากความสามารถในการระดมทีมที่คล่องตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาที่ดีเกิดขึ้นจากการฝึกฝน ไม่ใช่พรสวรรค์ โดยเน้นที่การตั้งคำถามที่ดี การสร้างสมมติฐานที่คมชัด การจัดโครงสร้างปัญหาอย่างมีเหตุผล การจัดลำดับความสำคัญอย่างเคร่งครัด การวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด และการสังเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อเล่าเรื่องราวที่กระตุ้นการกระทำ

2. วงจรการแก้ปัญหาแบบ "Bulletproof Problem Solving" ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง?
วงจรการแก้ปัญหาแบบ "Bulletproof Problem Solving" ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนที่สามารถดำเนินการซ้ำได้ภายในกรอบเวลาใดก็ได้ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน เมื่อถึงจุดสิ้นสุดเบื้องต้นแล้ว คุณสามารถทำซ้ำกระบวนการเพื่อดึงข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้จะไม่ได้ระบุทั้ง 7 ขั้นตอนโดยละเอียดในแหล่งข้อมูล แต่ก็มีการกล่าวถึงขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
กำหนดปัญหา: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตของปัญหาอย่างชัดเจนและระบุเป้าหมายที่ต้องการ รวมถึงการปรับปรุงคำแถลงปัญหาให้ชัดเจนขึ้นเมื่อความเข้าใจของทีมพัฒนาขึ้น
แยกส่วนปัญหาและจัดลำดับความสำคัญ: การใช้ "logic trees" เพื่อแสดงภาพและแยกย่อยปัญหาออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ ทำให้สามารถติดตามส่วนต่างๆ ของปัญหาเพื่อการวิเคราะห์และสร้างข้อมูลเชิงลึกนำไปสู่แนวทางแก้ไขได้ การจัดลำดับความสำคัญเกี่ยวข้องกับการตัดกิ่งก้านที่ไม่สำคัญออกไป
สร้างแผนงานและกระบวนการทีมที่ดี: การวางแผนงานและการจัดการโครงการ การสร้าง "one-day answers" และการใช้กระบวนการทีมที่มีประสิทธิภาพเพื่อการวางแผนงานและการวิเคราะห์
ดำเนินการวิเคราะห์: การใช้หลักการประมาณ และกฎง่ายๆ ในการประมาณขนาดและทิศทางของปัจจัยสำคัญของปัญหา และใช้การแก้ปัญหาโดยตั้งคำถาม เพื่อเจาะลึกการวิเคราะห์
สังเคราะห์ผลลัพธ์และเล่าเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม: การรวบรวมชิ้นส่วนงานวิเคราะห์ทั้งหมดเข้าด้วยกันและจัดระเบียบโครงสร้างเพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งกระตุ้นการกระทำ มักใช้โครงสร้างแบบพีระมิดและการอัปเดต "one-day answer"
ขั้นตอนเหล่านี้เน้นการสร้างสมมติฐานเชิงรุกและการทดสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่โซลูชันที่ชัดเจน

3. "Logic trees" คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในการแก้ปัญหา?
"Logic trees" เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการแสดงองค์ประกอบของปัญหาอย่างชัดเจน และติดตามระดับต่างๆ ของปัญหา ซึ่งเปรียบได้กับลำต้น กิ่ง ก้าน และใบไม้ สามารถจัดเรียงได้จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย หรือจากบนลงล่าง ขึ้นอยู่กับว่าการแสดงภาพองค์ประกอบใดจะง่ายที่สุด มีหลายประเภท รวมถึง:
Hypothesis trees: ใช้เพื่อสร้างและทดสอบสมมติฐาน
Decision trees: ใช้ในการแสดงภาพการตัดสินใจและผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
Factor/Lever trees: ใช้เพื่อระบุปัจจัยและคันโยกหลักที่มีผลต่อปัญหา
Deductive logic trees: สร้างขึ้นจากหลักการทั่วไปไปสู่ข้อสรุปเฉพาะ โดยที่ส่วนประกอบต่างๆ จะรวมกันทางตรรกะหรือคณิตศาสตร์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ประโยชน์ของ "logic trees" คือ:
การแสดงภาพที่ชัดเจน: ช่วยให้ทุกคนเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ ของปัญหา
ความครอบคลุม: จับภาพทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหาอย่างครบถ้วน
นำไปสู่สมมติฐานที่ชัดเจน: สามารถทดสอบด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์ได้
การจัดการความซับซ้อน: ช่วยให้สามารถแยกย่อยปัญหาที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนย่อยที่จัดการได้

4. "MECE" ในการสร้าง "logic tree" หมายถึงอะไร?
MECE ย่อมาจาก "Mutually Exclusive, Collectively Exhaustive" เป็นหลักการสำคัญในการสร้าง "logic tree" ที่มีประสิทธิภาพ:
Mutually Exclusive : หมายความว่าแต่ละกิ่งก้านหรือองค์ประกอบใน "logic tree" ไม่ควรมีส่วนที่ทับซ้อนกันหรือซ้ำซ้อนกันกับกิ่งก้านอื่น ๆ แต่ละส่วนควรเป็นอิสระและไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
Collectively Exhaustive : หมายความว่ากิ่งก้านหรือองค์ประกอบทั้งหมดใน "logic tree" เมื่อรวมกันแล้ว จะต้องครอบคลุมปัญหาทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ไม่มีส่วนใดของปัญหาที่ถูกมองข้ามหรือตกหล่นไปจากโครงสร้าง
การใช้หลักการ MECE ช่วยให้มั่นใจได้ว่า "logic tree" นั้นชัดเจน ครบถ้วน และไม่มีความสับสน ทำให้การวิเคราะห์และการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. วิธีการวิเคราะห์ที่สำคัญ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาคืออะไร?
วิธีการวิเคราะห์ที่สำคัญ เป็นเครื่องมือขั้นสูงที่ใช้ในการเจาะลึกการวิเคราะห์เมื่อหลักการประมาณ และสถิติสรุปให้ข้อมูลเชิงลึกเบื้องต้นแล้ว ลำดับที่แนะนำคือการเริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหาและสร้างสมมติฐานเบื้องต้น จากนั้นทำความเข้าใจข้อมูลโดยดูที่ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม และสถิติสรุปอื่นๆ รวมถึงการแสดงภาพข้อมูลด้วย scatter plots หรือ hot-spot diagrams แม้จะไม่ได้ระบุ "Big Guns" ทั้งหมดอย่างละเอียด แต่ตัวอย่างที่กล่าวถึงในแหล่งข้อมูล ได้แก่:
การวิเคราะห์ถดถอย : ใช้เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและคาดการณ์ผลลัพธ์
การจำลอง เช่น Monte Carlo simulations: ใช้เพื่อสร้างช่วงของการคาดการณ์และประเมินผลกระทบของความไม่แน่นอน
ทฤษฎีเกม : ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม
การทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม หรือ "Natural experiments": ใช้เพื่อทดสอบสาเหตุและผลกระทบของปัจจัยต่างๆ อย่างแม่นยำ
การเรียนรู้ของเครื่อง : ใช้ในการพัฒนาอัลกอริทึมที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลและทำการคาดการณ์
การเลือก "Big Gun" ขึ้นอยู่กับประเภทของปัญหาและข้อมูลที่มีอยู่

6. การจัดการกับความไม่แน่นอนในการแก้ปัญหามีบทบาทอย่างไร?
การแก้ปัญหามักต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับต่างๆ แหล่งข้อมูลระบุถึง 4 ระดับของความไม่แน่นอน:
ระดับ 1: อนาคตที่ชัดเจนพอสมควร: สามารถคาดการณ์อนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำ
ระดับ 2: อนาคตทางเลือก: มีชุดผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จำนวนจำกัด
ระดับ 3: อนาคตที่มีช่วงกว้าง: มีช่วงของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่กว้างขึ้น
ระดับ 4: ความไม่แน่นอนที่แท้จริง: อนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย
กลยุทธ์ในการจัดการกับความไม่แน่นอน ได้แก่:
การซื้อเวลา: "ไม่ทำอะไร" หรือรอข้อมูลเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหวแบบ "no regrets": การตัดสินใจที่ให้ผลดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
การเดิมพันครั้งใหญ่ : การลงทุนครั้งใหญ่เมื่อมีความมั่นใจสูง
การได้มาซึ่งตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ที่มีต้นทุนต่ำ: การลงทุนเล็กน้อยในโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมในอนาคต
การซื้อประกัน: การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน
การใช้สถานการณ์จำลอง : การสร้างภาพอนาคตที่เป็นไปได้หลายแบบเพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาส
"Logic trees" โดยเฉพาะ "decision trees" ยังสามารถใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน โดยการกำหนดตัวเลือก ผลลัพธ์ และความน่าจะเป็นของแต่ละเหตุการณ์

7. "Wicked Problems" คืออะไร และตัวอย่างที่สำคัญคืออะไร?
"Wicked problems" คือปัญหาที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก ซึ่งแตกต่างจากปัญหาทั่วไปที่มักจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ชัดเจน "Wicked problems" มักจะมีคุณสมบัติหลายอย่าง:
ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน: ขอบเขตของปัญหาไม่ชัดเจนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือผิดเพียงหนึ่งเดียว: มีวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้หลายวิธี และไม่มีวิธีใดที่สมบูรณ์แบบ
ไม่สามารถทดสอบวิธีแก้ปัญหาได้ทันที: ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหามักไม่ปรากฏให้เห็นในทันที และอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด
เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละฝ่ายอาจมีมุมมองและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน
ไม่ซ้ำกัน: แต่ละ "wicked problem" เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและไม่สามารถนำวิธีแก้ปัญหาจากปัญหาอื่นมาใช้ได้โดยตรง
สาเหตุหลายประการ: ปัญหาเกิดจากปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ตัวอย่างสำคัญของ "wicked problems" ที่กล่าวถึงในแหล่งข้อมูล ได้แก่:
โรคอ้วน: เป็นปัญหาที่ซับซ้อนเนื่องจากมีหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และปัจจัยทางสังคม ทำให้ยากต่อการแก้ไขด้วยวิธีเดียว
การทำประมงเกินขนาด : ซึ่งเป็นปัญหาทรัพยากรส่วนรวมแบบคลาสสิก ที่มีสาเหตุจากการเข้าถึงและกำลังการทำประมงที่มากเกินไป ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแพร่พันธุ์ของปลา และอุปกรณ์การทำประมงที่ทำลายที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ทำให้ประชากรปลาลดลงและเศรษฐกิจของชาวประมงก็แย่ลงเรื่อยๆ
การแก้ปัญหา "wicked problems" ต้องอาศัยการทำซ้ำ ความยืดหยุ่น และการจัดการพอร์ตโฟลิโอของกลยุทธ์

8. การเล่าเรื่องมีบทบาทอย่างไรในการนำเสนอผลการแก้ปัญหา?
การสังเคราะห์ผลลัพธ์และ "การเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม" เป็นขั้นตอนสำคัญในวงจรการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสื่อสารผลลัพธ์และการดำเนินการที่แนะนำไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจ การสังเคราะห์คือการรวบรวมชิ้นส่วนงานวิเคราะห์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งมักจะนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ที่ไม่ถูกสังเกตเห็นเมื่ออยู่ท่ามกลางการวิเคราะห์
หลักการสำคัญในการเล่าเรื่องที่ดี ได้แก่:
ใช้โครงสร้างแบบพีระมิด : ช่วยจัดโครงสร้างข้อโต้แย้งและข้อมูลสนับสนุนให้เป็นเรื่องราวที่มีพลัง โดยเริ่มจากความคิดหลักที่ครอบคลุม ตามด้วยข้อโต้แย้งสนับสนุนที่ชัดเจนและหลักฐาน
อัปเดต "one-day answer": ซึ่งเป็นโครงสร้าง "สถานการณ์-ข้อสังเกต-ทางออก" ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยข้อมูลที่ค้นพบใหม่ๆ สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับโครงสร้างการเล่าเรื่องของคุณ
ลองโครงสร้างการเล่าเรื่องหลายแบบ: เพื่อดูว่าโครงสร้างใดที่ชัดเจนและน่าสนใจที่สุด บางครั้งรูปแบบ "decision tree" ที่แสดงคำตอบทีละขั้นตอนก็มีประโยชน์สำหรับข้อสรุปที่ยากและผู้ชมที่ซับซ้อน
ใช้ storyboard: เพื่อวางแผนสไลด์นำเสนอของคุณ โดยให้หัวข้อหลักของสไลด์เป็นข้อโต้แย้งของเรื่องราว และอ่านข้ามสไลด์เพื่อตรวจสอบตรรกะและความสอดคล้องกันในแนวนอน
เป้าหมายคือการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและการตอบคำถามของผู้มีอำนาจตัดสินใจว่า "ฉันควรทำอย่างไร?" ในลักษณะที่น่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการกระทำ

  continue reading

71 حلقات

Artwork
iconمشاركة
 
Manage episode 492679070 series 3664855
المحتوى المقدم من 9Natree. يتم تحميل جميع محتويات البودكاست بما في ذلك الحلقات والرسومات وأوصاف البودكاست وتقديمها مباشرة بواسطة 9Natree أو شريك منصة البودكاست الخاص بهم. إذا كنت تعتقد أن شخصًا ما يستخدم عملك المحمي بحقوق الطبع والنشر دون إذنك، فيمكنك اتباع العملية الموضحة هنا https://ar.player.fm/legal.

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Bulletproof Problem Solving เขียนโดย Charles Conn, Robert McLean
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/BulletproofProblemSolving
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/BulletproofProblemSolving
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07PFRCCY4?tag=9natree-20
#BulletproofProblemSolving #รีวิวBulletproofProblemSolving #สรุปBulletproofProblemSolving #หนังสือBulletproofProblemSolving
1. "Bulletproof Problem Solving" คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญในศตวรรษที่ 21?
"Bulletproof Problem Solving" คือกระบวนการที่ครอบคลุมและวนซ้ำได้ 7 ขั้นตอนสำหรับการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับความท้าทายที่ซับซ้อนในชีวิตส่วนตัว การทำงาน และขอบเขตเชิงนโยบาย ในอดีต การแก้ปัญหาถูกมองว่าเป็นโดเมนของบางอาชีพ เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และการให้คำปรึกษาด้านการจัดการ อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของศตวรรษที่ 21 ความสามารถในการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์จึงไม่ได้เป็นเพียงทักษะในโดเมนที่จำกัดอีกต่อไป แต่เป็นความคาดหวังของบุคคลและทีมงานในทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาครัฐ ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกจ้างงานโดยพิจารณาจากทักษะการวิเคราะห์และการคิดที่แสดงให้เห็น ประเมินจากการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากความสามารถในการระดมทีมที่คล่องตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาที่ดีเกิดขึ้นจากการฝึกฝน ไม่ใช่พรสวรรค์ โดยเน้นที่การตั้งคำถามที่ดี การสร้างสมมติฐานที่คมชัด การจัดโครงสร้างปัญหาอย่างมีเหตุผล การจัดลำดับความสำคัญอย่างเคร่งครัด การวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด และการสังเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อเล่าเรื่องราวที่กระตุ้นการกระทำ

2. วงจรการแก้ปัญหาแบบ "Bulletproof Problem Solving" ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง?
วงจรการแก้ปัญหาแบบ "Bulletproof Problem Solving" ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนที่สามารถดำเนินการซ้ำได้ภายในกรอบเวลาใดก็ได้ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน เมื่อถึงจุดสิ้นสุดเบื้องต้นแล้ว คุณสามารถทำซ้ำกระบวนการเพื่อดึงข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้จะไม่ได้ระบุทั้ง 7 ขั้นตอนโดยละเอียดในแหล่งข้อมูล แต่ก็มีการกล่าวถึงขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
กำหนดปัญหา: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตของปัญหาอย่างชัดเจนและระบุเป้าหมายที่ต้องการ รวมถึงการปรับปรุงคำแถลงปัญหาให้ชัดเจนขึ้นเมื่อความเข้าใจของทีมพัฒนาขึ้น
แยกส่วนปัญหาและจัดลำดับความสำคัญ: การใช้ "logic trees" เพื่อแสดงภาพและแยกย่อยปัญหาออกเป็นองค์ประกอบต่างๆ ทำให้สามารถติดตามส่วนต่างๆ ของปัญหาเพื่อการวิเคราะห์และสร้างข้อมูลเชิงลึกนำไปสู่แนวทางแก้ไขได้ การจัดลำดับความสำคัญเกี่ยวข้องกับการตัดกิ่งก้านที่ไม่สำคัญออกไป
สร้างแผนงานและกระบวนการทีมที่ดี: การวางแผนงานและการจัดการโครงการ การสร้าง "one-day answers" และการใช้กระบวนการทีมที่มีประสิทธิภาพเพื่อการวางแผนงานและการวิเคราะห์
ดำเนินการวิเคราะห์: การใช้หลักการประมาณ และกฎง่ายๆ ในการประมาณขนาดและทิศทางของปัจจัยสำคัญของปัญหา และใช้การแก้ปัญหาโดยตั้งคำถาม เพื่อเจาะลึกการวิเคราะห์
สังเคราะห์ผลลัพธ์และเล่าเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม: การรวบรวมชิ้นส่วนงานวิเคราะห์ทั้งหมดเข้าด้วยกันและจัดระเบียบโครงสร้างเพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งกระตุ้นการกระทำ มักใช้โครงสร้างแบบพีระมิดและการอัปเดต "one-day answer"
ขั้นตอนเหล่านี้เน้นการสร้างสมมติฐานเชิงรุกและการทดสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่โซลูชันที่ชัดเจน

3. "Logic trees" คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในการแก้ปัญหา?
"Logic trees" เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการแสดงองค์ประกอบของปัญหาอย่างชัดเจน และติดตามระดับต่างๆ ของปัญหา ซึ่งเปรียบได้กับลำต้น กิ่ง ก้าน และใบไม้ สามารถจัดเรียงได้จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย หรือจากบนลงล่าง ขึ้นอยู่กับว่าการแสดงภาพองค์ประกอบใดจะง่ายที่สุด มีหลายประเภท รวมถึง:
Hypothesis trees: ใช้เพื่อสร้างและทดสอบสมมติฐาน
Decision trees: ใช้ในการแสดงภาพการตัดสินใจและผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
Factor/Lever trees: ใช้เพื่อระบุปัจจัยและคันโยกหลักที่มีผลต่อปัญหา
Deductive logic trees: สร้างขึ้นจากหลักการทั่วไปไปสู่ข้อสรุปเฉพาะ โดยที่ส่วนประกอบต่างๆ จะรวมกันทางตรรกะหรือคณิตศาสตร์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ประโยชน์ของ "logic trees" คือ:
การแสดงภาพที่ชัดเจน: ช่วยให้ทุกคนเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ ของปัญหา
ความครอบคลุม: จับภาพทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหาอย่างครบถ้วน
นำไปสู่สมมติฐานที่ชัดเจน: สามารถทดสอบด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์ได้
การจัดการความซับซ้อน: ช่วยให้สามารถแยกย่อยปัญหาที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนย่อยที่จัดการได้

4. "MECE" ในการสร้าง "logic tree" หมายถึงอะไร?
MECE ย่อมาจาก "Mutually Exclusive, Collectively Exhaustive" เป็นหลักการสำคัญในการสร้าง "logic tree" ที่มีประสิทธิภาพ:
Mutually Exclusive : หมายความว่าแต่ละกิ่งก้านหรือองค์ประกอบใน "logic tree" ไม่ควรมีส่วนที่ทับซ้อนกันหรือซ้ำซ้อนกันกับกิ่งก้านอื่น ๆ แต่ละส่วนควรเป็นอิสระและไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
Collectively Exhaustive : หมายความว่ากิ่งก้านหรือองค์ประกอบทั้งหมดใน "logic tree" เมื่อรวมกันแล้ว จะต้องครอบคลุมปัญหาทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ไม่มีส่วนใดของปัญหาที่ถูกมองข้ามหรือตกหล่นไปจากโครงสร้าง
การใช้หลักการ MECE ช่วยให้มั่นใจได้ว่า "logic tree" นั้นชัดเจน ครบถ้วน และไม่มีความสับสน ทำให้การวิเคราะห์และการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. วิธีการวิเคราะห์ที่สำคัญ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาคืออะไร?
วิธีการวิเคราะห์ที่สำคัญ เป็นเครื่องมือขั้นสูงที่ใช้ในการเจาะลึกการวิเคราะห์เมื่อหลักการประมาณ และสถิติสรุปให้ข้อมูลเชิงลึกเบื้องต้นแล้ว ลำดับที่แนะนำคือการเริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหาและสร้างสมมติฐานเบื้องต้น จากนั้นทำความเข้าใจข้อมูลโดยดูที่ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม และสถิติสรุปอื่นๆ รวมถึงการแสดงภาพข้อมูลด้วย scatter plots หรือ hot-spot diagrams แม้จะไม่ได้ระบุ "Big Guns" ทั้งหมดอย่างละเอียด แต่ตัวอย่างที่กล่าวถึงในแหล่งข้อมูล ได้แก่:
การวิเคราะห์ถดถอย : ใช้เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและคาดการณ์ผลลัพธ์
การจำลอง เช่น Monte Carlo simulations: ใช้เพื่อสร้างช่วงของการคาดการณ์และประเมินผลกระทบของความไม่แน่นอน
ทฤษฎีเกม : ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม
การทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม หรือ "Natural experiments": ใช้เพื่อทดสอบสาเหตุและผลกระทบของปัจจัยต่างๆ อย่างแม่นยำ
การเรียนรู้ของเครื่อง : ใช้ในการพัฒนาอัลกอริทึมที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลและทำการคาดการณ์
การเลือก "Big Gun" ขึ้นอยู่กับประเภทของปัญหาและข้อมูลที่มีอยู่

6. การจัดการกับความไม่แน่นอนในการแก้ปัญหามีบทบาทอย่างไร?
การแก้ปัญหามักต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับต่างๆ แหล่งข้อมูลระบุถึง 4 ระดับของความไม่แน่นอน:
ระดับ 1: อนาคตที่ชัดเจนพอสมควร: สามารถคาดการณ์อนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำ
ระดับ 2: อนาคตทางเลือก: มีชุดผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จำนวนจำกัด
ระดับ 3: อนาคตที่มีช่วงกว้าง: มีช่วงของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่กว้างขึ้น
ระดับ 4: ความไม่แน่นอนที่แท้จริง: อนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย
กลยุทธ์ในการจัดการกับความไม่แน่นอน ได้แก่:
การซื้อเวลา: "ไม่ทำอะไร" หรือรอข้อมูลเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหวแบบ "no regrets": การตัดสินใจที่ให้ผลดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
การเดิมพันครั้งใหญ่ : การลงทุนครั้งใหญ่เมื่อมีความมั่นใจสูง
การได้มาซึ่งตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ที่มีต้นทุนต่ำ: การลงทุนเล็กน้อยในโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมในอนาคต
การซื้อประกัน: การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน
การใช้สถานการณ์จำลอง : การสร้างภาพอนาคตที่เป็นไปได้หลายแบบเพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาส
"Logic trees" โดยเฉพาะ "decision trees" ยังสามารถใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน โดยการกำหนดตัวเลือก ผลลัพธ์ และความน่าจะเป็นของแต่ละเหตุการณ์

7. "Wicked Problems" คืออะไร และตัวอย่างที่สำคัญคืออะไร?
"Wicked problems" คือปัญหาที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก ซึ่งแตกต่างจากปัญหาทั่วไปที่มักจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ชัดเจน "Wicked problems" มักจะมีคุณสมบัติหลายอย่าง:
ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน: ขอบเขตของปัญหาไม่ชัดเจนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือผิดเพียงหนึ่งเดียว: มีวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้หลายวิธี และไม่มีวิธีใดที่สมบูรณ์แบบ
ไม่สามารถทดสอบวิธีแก้ปัญหาได้ทันที: ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหามักไม่ปรากฏให้เห็นในทันที และอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด
เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละฝ่ายอาจมีมุมมองและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน
ไม่ซ้ำกัน: แต่ละ "wicked problem" เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและไม่สามารถนำวิธีแก้ปัญหาจากปัญหาอื่นมาใช้ได้โดยตรง
สาเหตุหลายประการ: ปัญหาเกิดจากปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ตัวอย่างสำคัญของ "wicked problems" ที่กล่าวถึงในแหล่งข้อมูล ได้แก่:
โรคอ้วน: เป็นปัญหาที่ซับซ้อนเนื่องจากมีหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และปัจจัยทางสังคม ทำให้ยากต่อการแก้ไขด้วยวิธีเดียว
การทำประมงเกินขนาด : ซึ่งเป็นปัญหาทรัพยากรส่วนรวมแบบคลาสสิก ที่มีสาเหตุจากการเข้าถึงและกำลังการทำประมงที่มากเกินไป ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแพร่พันธุ์ของปลา และอุปกรณ์การทำประมงที่ทำลายที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ทำให้ประชากรปลาลดลงและเศรษฐกิจของชาวประมงก็แย่ลงเรื่อยๆ
การแก้ปัญหา "wicked problems" ต้องอาศัยการทำซ้ำ ความยืดหยุ่น และการจัดการพอร์ตโฟลิโอของกลยุทธ์

8. การเล่าเรื่องมีบทบาทอย่างไรในการนำเสนอผลการแก้ปัญหา?
การสังเคราะห์ผลลัพธ์และ "การเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม" เป็นขั้นตอนสำคัญในวงจรการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสื่อสารผลลัพธ์และการดำเนินการที่แนะนำไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจ การสังเคราะห์คือการรวบรวมชิ้นส่วนงานวิเคราะห์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งมักจะนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ที่ไม่ถูกสังเกตเห็นเมื่ออยู่ท่ามกลางการวิเคราะห์
หลักการสำคัญในการเล่าเรื่องที่ดี ได้แก่:
ใช้โครงสร้างแบบพีระมิด : ช่วยจัดโครงสร้างข้อโต้แย้งและข้อมูลสนับสนุนให้เป็นเรื่องราวที่มีพลัง โดยเริ่มจากความคิดหลักที่ครอบคลุม ตามด้วยข้อโต้แย้งสนับสนุนที่ชัดเจนและหลักฐาน
อัปเดต "one-day answer": ซึ่งเป็นโครงสร้าง "สถานการณ์-ข้อสังเกต-ทางออก" ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยข้อมูลที่ค้นพบใหม่ๆ สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับโครงสร้างการเล่าเรื่องของคุณ
ลองโครงสร้างการเล่าเรื่องหลายแบบ: เพื่อดูว่าโครงสร้างใดที่ชัดเจนและน่าสนใจที่สุด บางครั้งรูปแบบ "decision tree" ที่แสดงคำตอบทีละขั้นตอนก็มีประโยชน์สำหรับข้อสรุปที่ยากและผู้ชมที่ซับซ้อน
ใช้ storyboard: เพื่อวางแผนสไลด์นำเสนอของคุณ โดยให้หัวข้อหลักของสไลด์เป็นข้อโต้แย้งของเรื่องราว และอ่านข้ามสไลด์เพื่อตรวจสอบตรรกะและความสอดคล้องกันในแนวนอน
เป้าหมายคือการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและการตอบคำถามของผู้มีอำนาจตัดสินใจว่า "ฉันควรทำอย่างไร?" ในลักษณะที่น่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการกระทำ

  continue reading

71 حلقات

Tutti gli episodi

×
 
Loading …

مرحبًا بك في مشغل أف ام!

يقوم برنامج مشغل أف أم بمسح الويب للحصول على بودكاست عالية الجودة لتستمتع بها الآن. إنه أفضل تطبيق بودكاست ويعمل على أجهزة اندرويد والأيفون والويب. قم بالتسجيل لمزامنة الاشتراكات عبر الأجهزة.

 

دليل مرجعي سريع

حقوق الطبع والنشر 2025 | سياسة الخصوصية | شروط الخدمة | | حقوق النشر
استمع إلى هذا العرض أثناء الاستكشاف
تشغيل